สตาร์ทอัพจากอังกฤษ Cocoon Carbon เปลี่ยน waste ในโรงงานถลุงเหล็กมาใช้เป็นส่วนผสมคอนกรีตที่ช่วยลดคาร์บอน

ในอุตสาหกรรมซีเมนต์และวัสดุคอนกรีตที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ซึ่งกระบวนการเผาปูนดิบ มักทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมหาศาล ทั้งจากการเผาเชื้อเพลิงและการสลายตัวของหินปูน และเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในวางการอุตสาหกรรมมีการพัฒนาวัสดุที่เรียกว่า SCM (Supplementary Cementitious Materials) หรือวัสดุที่ใช้ทดแทนซีเมนต์

 

ซึ่ง SCM ทำหน้าที่เป็นวัสดุเสริมที่สามารถผสมทดแทนปูนซีเมนต์บางส่วนในคอนกรีตได้ โดยไม่ลดทอนคุณสมบัติทางวิศวกรรมของวัสดุ ตัวอย่างของ SCM ที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ เถ้าลอยจากโรงไฟฟ้า (Fly Ash) และตะกรันเตาถลุงเหล็กแบบพ่นน้ำ (GGBS หรือ ground granulated blast furnace slag)

 

และวันนี้ Wazzadu Low Carbon Material Library ไปเจอบริษัทสตร์ทอัพจากประเทศอังกฤษที่ใช้นวัตกรรมด้าน Climate Tech การกับ Upcycle ตะกรันเหล็กจากเตาหลอมไฟฟ้าหรือ EAF Slag ให้กลายเป็น SCM ที่คาร์บอนต่ำ ซึ่งช่วยช่วยลดปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในคอนกรีตจากเดิมได้ถึง 30-50% โดยที่คุณสมบัติไม่ด้อยลง แต่เพิ่มสมรรถนะด้านความแข็งแรงได้อีกครับ

 

น่าสนใจแบบนี้ เรามารู้จักกับ Cocoon Carbon กันเพิ่มดีกว่า

บริษัท Cocoon Carbon Ltd. คือสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.2023 โดย คุณ Eliot Brooks (CEO) คุณ Freddie Scott (CTO) และ ดร.Will Knapp (CSO) ที่เป็นนักธรณี-วัสดุศาสตร์ พวกเขามีเป้าหมายหลักที่ต้องการจะการปลดล็อกศักยภาพของ EAF slag ให้กลายเป็น SCM ที่สามารถใช้แทนปูนซีเมนต์ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมก่อสร้างและแก้ปัญหาเรื่องวัสดุเหลือทิ้งในโรงงานหลอมเหล็ก

 

Cocoon Carbon ได้คิดค้นการออกแบบระบบ Modular Processing Unit หรือหน่วยประมวลผลแบบแยกส่วน ที่มีขนาดเท่าตู้คอนเทนเนอร์และสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่ที่เรียกว่า Slag Pit ที่เป็นบริเวณรองรับตะกรันจากเตาหลอมไฟฟ้า และจะรับตะกรันหลอมสดๆ จากเตา

 

โดยผ่านกระบวนการที่แปรสภาพเชิงเคมีและกายภาพพร้อมกับบดละเอียดตะกรันเหล็กเพื่อให้ได้เนื้อผงที่ละเอียด วัสดุที่ผ่านกระบวนการนี้จะเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วในแม่พิมพ์พิเศษ และมีลักษณะคล้ายแก้วที่มีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายกับตะกรันจากเตาถลุงแบบดั้งเดิม ทาง  Cocoon Carbon เรียกวัสดุนี้ว่า “e-slag” สามารถใช้ผสมร่วมกับปูนซีเมนต์และทำให้การใช้ซีเมนต์มีปริมาณลดลงนั่นเอง

วิเคราะห์ข้อดีของการใช้ e-slag

การใช้ e-slag ของ Cocoon ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในหลายมิติ รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ได้ตามนี้

1. ลดการใช้ปูนซีเมนต์หลัก ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง

2. ลดการฝังกลบของตะกรันเหล็ก ที่จากเดิมเป็นของเสียอุตสาหกรรมตามโรงงานถลุงเหล็กหรือโรงงานหลอมเหล็ก

3. ช่วยส่งเสริมการสร้างรายได้ให้โรงเหล็ก ด้วยการใช้ waste ที่เป็นตะกรันเหล็ก EAF Slag ให้เกิดมูลค่า

4. ส่งเสริมการกู้คืนโลหะ เนื่องจากนวัตกรรมของ Cocoon Carbon สามารถเชื่อมต่อกับโรงเหล็กเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนกระบวนการหลัก

5. รองรับระบบเครดิตคาร์บอนในอนาคต เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป ทั้งยังลดภาระทางกฎหมายหรือค่าธรรมเนียมจัดการของเสียอุตสาหกรรมอีกด้วย

ปัจจุบัน Cocoon Carbon อยู่ช่วงทดลองการตลาด และเริ่มติดตั้งระบบในโรงงานเหล็กแห่งแรกอังกฤษช่วงปลายปี ค.ศ.2024 และเตรียมขยายการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาช่วงปี ค.ศ.2025 โดยคาดว่า e-slag จะเข้าสู่ตลาดวัสดุก่อสร้างในเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบภายในปี 2026 ด้วยกำลังการผลิตระดับ 100,000–300,000 ตันต่อปี

 

นี่คือ case study ที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ของนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างในยุค Net Zero ที่ค่อยๆ พัฒนาจาก Low Carbon Material ไปสู่เส้นทางเราจะก่อสร้างได้โดยไม่ก่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม แล้วยังเชื่อมต่อกับระบบเศรษฐกิจให้กับทุกฝ่ายแบบ Ecosystem ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ออกแบบ ผู้ใช้งาน เพราะ Waste จะไม่ใช่แค่ของเสีย แต่ต้องยกระดับสู่วัสดุคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนครับ

 

ขอขอบคุณข้อมูล :

https://www.tnnthailand.com

https://www.abbreviationfinder.org

 

ขอขอบคุณรูปประกอบ :

https://www.cocooncarbon.com

Wazzadu Low Carbon Material Library คือ ห้องสมุดวัสดุคาร์บอนฯ ต่ำ สำหรับงานสถาปัตยกรรม ที่รวบรวมความรู้และสเปควัสดุคาร์บอนฯ ต่ำ ทั้งจากนักวิจัย, สตาร์ทอัพ และผู้ผลิต เพื่อให้สถาปนิกและเจ้าของโครงการสามารถเลือกใช้สเปควัสดุคาร์บอนฯ ต่ำ สำหรับนำไปออกแบบอาคาร หรือ งานสถาปัตยกรรมเพื่อความยั่งยืนได้ ช่วยสร้างความมีส่วนร่วมในการเร่งสถาปัตยกรรมคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้น โดยเร็วเพื่อช่วยลดการแก้ปัญหาโลกร้อน

ด้วยการเกณฑ์การประเมินคาร์บอนฯ ที่แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. Low Carbon CFO (Carbon Footprint for Organization) : การประเมิน carbon footprint ขององค์กร
2. Low Carbon CFP (Carbon Footprint of Product) : การประเมิน carbon footprint ของผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตและผู้พัฒนาวัสดุที่มีความมุ่งมั่นในการลดคาร์บอนจากวัสดุที่จำหน่าย มุ่งสู่เส้นทาง Low Carbon material ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทางโครงการมีการแบ่งเฟสที่บอกระดับว่าแต่ละองค์กรอยู่ที่จุดไหนแล้วบ้าง ได้แก่

Phase 1 : Committed เข้าร่วมโครงการ Wazzadu Low Carbon Material Library สู่เส้นทาง Low Carbon
Phase 2 : On-Track ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Phase 3 : Achieved สามารถปล่อยคาร์บอนฯ ต่ำได้แล้วเมื่อเทียบจากครั้งก่อนๆ

หวังว่าห้องสมุดที่รวมวัสดุคาร์บอนฯ ต่ำนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้พบกับวัสดุที่สามารถใช้ออกแบบให้เกิดเป็นสถาปัตยกรรมคาร์บอนต่ำได้จริง ...

บทความอื่นๆ จากผู้เขียน

บทความที่เกี่ยวข้อง

...

โพลสำรวจ

ถาม-ตอบ

Wazzadu.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานของคุณ