รู้จัก Active Design แนวคิดการใช้เทคโนโลยีเพื่อออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างยั่งยืน
ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบอาคารและสิ่งแวดล้อม “Active Design” เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่สามรถนำมาปรับใช้กับการก่อสร้างสมัยใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเราต้องเผชิญกับข้อจำกัดของการใช้พลังงานจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว การผสานเทคโนโลยีเข้ากับกระบวนการออกแบบจึงเป็นคำตอบที่ช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพการใช้งาน และสร้างสภาวะอยู่สบายให้กับผู้ใช้อาคารได้อย่างยั่งยืนครับ
แล้ว Active Design แตกต่างจาก Passive Design อย่างไร ทั้งสองแนวคิดนี้มีบทบาทอย่างไรในการสร้างอาคารที่เน้นเรื่องประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Wazzadu Low Carbon Material Library จะอธิบายให้ฟังครับ
Active Design คืออะไร?
Active Design ในมุมมองการออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อความยั่งยืน คือ การนำเทคโนโลยีและระบบเครื่องจักรกลที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมและปรับสภาพแวดล้อมภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาในจุดที่การออกแบบตาม Passive Design ที่เน้นใช้พลังงานและหลักธรรมชาติเข้ามาเสริมเรื่องของพลังงานในอาคาร และแน่นอนว่าในจุดที่ พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด, กระแสลม, การถ่ายเทอากาศ หรืออุณหภูมิแวดล้อมที่ไม่ได้เอื้อต่อสภาวะการอยู่สบาย Active Design จะเข้ามาเสริมในจุดที่ที่การใช้งานของแหล่งพลังงานจาก Passive Design ยังไม่เพียงพอนั่นเองครับ
การออกแบบ Active Design เลยเกี่ยวกับการใช้ระบบเครื่องกลต่างๆ อาทิ
- HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning) ระบบปรับอากาศและระบายอากาศในอาคาร
- Lighting ระบบไฟฟ้าให้แสงสว่างภายในและภายนอกอาคาร
- Energy recovery ventilation (ERV) ระบบระบายอากาศที่มีการแลกเปลี่ยนพลังงาน ระหว่างอากาศขาเข้า-ขาออก
- Smart Automation ระบบควบคุมอาคารอัตโนมัติ
และยังรวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ช่วยสร้างและรักษาความสบายภายในพื้นที่อยู่อาศัย ตลอดจนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประหยัดพลังงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนครับ
สรุปง่ายๆ ว่า Active Design ต่างจาก Passive design อย่างไร
- Active Design คือ การใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์เครื่องกล เพื่อปรับสภาพแวดล้อมในอาคารให้เหมาะสม เช่น การควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแสงสว่าง โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก
- Passive Design คือ การออกแบบอาคารโดยอาศัยหลักธรรมชาติ เช่น การวางตำแหน่งอาคารให้รับลมและแสงแดด การใช้ฉนวนกันความร้อน การปลูกต้นไม้เพื่อบังแดด เป็นต้น ซึ่งไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าหรือเครื่องกลใดๆ ในการควบคุมสภาพอากาศภายใน
ทีนี้ในเชิงสถาปัตยกรรม Active Design มักจะถูกนำมาใช้ร่วมกับ Passive Design เพื่อเสริมจุดแข็งและแก้ไขข้อจำกัดของการใช้ธรรมชาติ โดยการผสมผสานนี้ช่วยให้เกิดสภาพแวดล้อมภายในอาคารที่เหมาะสมกับการใช้งานจริง สร้างความรู้สึกสบายตัวหรือเป็นสภาวะอยู่สบาย Comfort Zone ที่ดีต่อผู้ใช้งานอาคารครับ
ในด้านของความยั่งยืนเอง วิธีเหล่านี้ต่างช่วยลดการใช้พลังงานลงเป็นอย่างมาก การปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมต่างๆ ขณะที่คนอยู่ในอาคารก็น้อยลงตาม นับเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในการออกแบบอาคารยุคใหม่ที่ต้องการความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการใช้พลังงานครับ
สรุปได้ว่า Active Design ในการออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อความยั่งยืน คือ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการจัดการสภาพแวดล้อมภายในอาคาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างคสภาวะสบายตัวในการอยู่อาศัย ผ่านการผสมผสานที่เน้นความสมดุลระหว่างธรรมชาติและเทคโนโลยีอย่างลงตัวครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
https://hba-th.org
https://propholic.com
https://www.baanlaesuan.com
ผู้เขียนบทความ
ด้วยการเกณฑ์การประเมินคาร์บอนฯ ที่แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. Low Carbon CFO (Carbon Footprint for Organization) : การประเมิน carbon footprint ขององค์กร
2. Low Carbon CFP (Carbon Footprint of Product) : การประเมิน carbon footprint ของผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตและผู้พัฒนาวัสดุที่มีความมุ่งมั่นในการลดคาร์บอนจากวัสดุที่จำหน่าย มุ่งสู่เส้นทาง Low Carbon material ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทางโครงการมีการแบ่งเฟสที่บอกระดับว่าแต่ละองค์กรอยู่ที่จุดไหนแล้วบ้าง ได้แก่
Phase 1 : Committed เข้าร่วมโครงการ Wazzadu Low Carbon Material Library สู่เส้นทาง Low Carbon
Phase 2 : On-Track ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Phase 3 : Achieved สามารถปล่อยคาร์บอนฯ ต่ำได้แล้วเมื่อเทียบจากครั้งก่อนๆ
หวังว่าห้องสมุดที่รวมวัสดุคาร์บอนฯ ต่ำนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้พบกับวัสดุที่สามารถใช้ออกแบบให้เกิดเป็นสถาปัตยกรรมคาร์บอนต่ำได้จริง ... อ่านเพิ่มเติม