เทคนิคการแก้ปัญหาดินถล่ม ด้วยการใช้กำแพงกันดินสำเร็จรูปในการออกแบบภูมิทัศน์ (Landslide problem solving techniques using precast retaining walls in landscape design)
ในยุคสมัยปัจจุบันที่สภาพอากาศแปรปรวนจากภาวะโลกร้อน ประเทศไทยเราเองก็เผชิญกับความผันแปรของอากาศ ฤดูร้อนก็ร้อนมาก และในทุก ๆ ปี เข้าฤดูฝนทีไรในหลายจังหวัดก็ต้องเจอกับอุทกภัย หรือ ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่บางพื้นที่เมื่อฝนตกก็จะเกิดปัญหาดินถล่ม หรือ ดินสไลด์ ตามมา
สำหรับแนวทางป้องกันและแก้ไขนั้น หนึ่งในวิธีที่สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดินถล่ม หรือ ดินสไลด์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือการใช้กำแพงกันดิน
วันนี้ Wazzadu Encyclopedia และ CPS ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนากำแพงดินสำเร็จรูป จะพาทุกท่านไปรู้จักกับปัญหาดินถล่ม และการนำกำแพงกันดินสำเร็จรูปมาใช้ให้เหมาะสมกับการออกแบบภูมิทัศน์ แต่ก่อนอื่นเรามารู้จักกับสาเหตุการเกิดดินถล่ม หรือ ดินสไลด์ กันก่อนครับ
ดินถล่มคืออะไร?
ดินถล่ม (Landslide) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อมวลดิน หิน ทราย และเศษซากจากภูเขา หรือ เนินเขาเคลื่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็วตามแรงโน้มถ่วงของโลก ปรากฏการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ และเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์
สาเหตุของดินถล่ม/ดินสไลด์
ดินถล่มเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดได้ทั้งทางธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
1.ปัจจัยทางธรรมชาติ
- ฝนตกหนัก ปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไปทำให้ดินเกิดความชุ่มน้ำ จนถึงจุดที่ไม่สามารถรองรับน้ำได้อีก ทำให้ดินอ่อนตัวและเกิดการถล่ม
- การสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ทำให้ดินและหินที่ไม่มั่นคงเกิดการเคลื่อนตัวอย่างฉับพลัน และทลายลงมาได้
- การกัดเซาะของน้ำ หรือ การไหลของแม่น้ำ ทำให้ฐานของเนินเขาอ่อนตัวและไม่สามารถรองรับน้ำหนักของดินได้
2. ปัจจัยที่มนุษย์สร้างขึ้น
- การตัดไม้ทำลายป่าทำให้ดินสูญเสียรากไม้ที่ช่วยยึดเกาะดิน เมื่อดินไม่มั่นคงจึงเกิดการถล่มได้ง่ายขึ้น
- การก่อสร้างและพัฒนาที่ดินบนพื้นที่ลาดชัน เช่น การก่อสร้างถนน บ้านเรือน การขุดเจาะพื้นที่เนินเขา ทำให้ทำลายโครงสร้างธรรมชาติของดินจนเกิดดินถล่มได้
- การขุดเหมือง ทั้งการทำเหมืองเปิดและการระเบิดในพื้นที่ภูเขา สามารถทำให้โครงสร้างดินเสียหายและนำไปสู่การถล่มของดิน
วิธีป้องกันและแก้ไขดินถล่ม
- ช่วยกันปลูกต้นไม้ หรือ ป่าชุมชน รากไม้จะช่วยยึดเกาะหน้าดิน
- สร้างกำแพงกันดิน(Retaining Wall) โดยใช้วัสดุแข็งแรง เช่น คอนกรีต หิน หรือถุงทราย
- ออกแบบและวางแผนสร้างทางน้ำไหล
- ใช้เทคโนโลยีเฝ้าระวังดินถล่มรวมถึงการเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง
- หลีกเลี่ยงการสร้างที่อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นที่ ที่เคยมีเหตุการณ์ดินถล่ม, บริเวณหุบเขา หรือ พื้นที่มีความลาดชันสูงฯ
- ควรปลูกพืชยึดหน้าดินบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ลาดชัน เพื่อลดความเสี่ยงของแผ่นดินถล่ม
- เฝ้าระวังและติดตามสภาพอากาศโดยเฉพาะช่วงฤดูฝน หรือ เมื่อมีพายุเข้าพื้นที่
- ฝึกอบรมชุมชนเรื่องการรับมือภัยพิบัติ เช่น วิธีอพยพเมื่อเกิดดินถล่ม
และประเด็นสำคัญที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ คือ การใช้กำแพงกันดินสำเร็จรูปในการป้องกันการเกิดดินถล่ม
หลักการกันดินถล่มด้วยกำแพงกันดิน
กำแพงกันดินทำหน้าที่รับแรงดันจากดินด้านหลัง เพื่อไม่ให้ดินเคลื่อนหรือถล่มลงมา โดยเฉพาะในพื้นที่ลาดชัน หรือ ที่ดินถูกถมสูง ซึ่งต้องออกแบบให้รองรับ
- แรงดันด้านข้างของดิน (Lateral Earth Pressure)
- น้ำหนักของน้ำฝนที่ซึมในดิน
- แรงสั่นสะเทือน (ในกรณีที่อาจมีแผ่นดินไหวหรือการจราจร)
ส่วนการใช้กำแพงกันดินเพื่อป้องกันดินถล่มให้เหมาะสมกับการออกแบบภูมิทัศน์นั้น ต้องพิจารณาทั้งด้านวิศวกรรมและความสวยงามควบคู่กัน โดยมีแนวทางดังนี้
แนวทางการใช้กำแพงกันดินเพื่อป้องกันดินถล่ม และมีความเหมาะสมกับการออกแบบภูมิทัศน์
1. ประเมินพื้นที่และสภาพภูมิประเทศ
- วิเคราะห์ความชันของพื้นที่ และแนวโน้มการไหลของดิน
- ตรวจสอบชนิดของดิน (ดินร่วน ดินเหนียว ดินทราย) เพื่อเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสม
- ระบุจุดเสี่ยงที่อาจเกิดดินถล่ม เช่น ชายเขา ทางลาด
- ความสูงไม่เกินที่เหมาะสม ถ้ากำแพงสูงเกิน 1.5 เมตร ควรปรึกษาวิศวกร เพราะต้องคำนึงถึงโครงสร้างฐานรากเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัย
2. เลือกประเภทกำแพงกันดินให้เหมาะกับภูมิทัศน์
- กำแพงกันดินสำเร็จรูป (Precast Retaining Wall) เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความรวดเร็วในการติดตั้ง
- เลือกวัสดุให้สอดคล้องกับบริบทแวดล้อม เช่น เลือกใช้หินธรรมชาติ, อิฐบล็อกประสาน, คอนกรีตพิมพ์ลาย, ผิวลายหินเทียมฯ เพราะจะทำให้ดูเป็นส่วนหนึ่งของสวนหรือพื้นที่พักผ่อน
- หากพื้นที่มีความลาดชันมากควรออกแบบเป็นขั้นบันได (Terraced Wall) เพราะจะลดความสูงของผนังในแต่ละชั้น ช่วยลดแรงดันดินและสร้างมิติให้ภูมิทัศน์
- ใช้กำแพงกันดินแบบมีช่องปลูกต้นไม้ (Green Retaining Wall) ซึ่งออกแบบให้มีช่องว่างสำหรับปลูกพืชคลุมดิน หรือ ตกแต่ง ลดความแข็งกระด้างของโครงสร้าง
3. ระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ
- ออกแบบโดยผสมผสานกับงานระบบระบายน้ำ เช่น ฝังท่อระบายน้ำหลังกำแพง (Weep Holes) หรือวางท่อระบายน้ำใต้วัสดุรองพื้น (Drainage Layer) ป้องกันน้ำขังและดินอิ่มน้ำที่เพิ่มแรงดันดิน
- ใช้หินกรวดหรือวัสดุกรอง (Geotextile) เพื่อช่วยระบายน้ำ
- การระบายน้ำที่ดีจะช่วยยืดอายุโครงสร้างกำแพงและลดความเสี่ยงดินพังทลาย
4. ตกแต่งภูมิทัศน์ร่วมกับกำแพงกันดิน
- ปลูกไม้คลุมดินหรือพุ่มไม้ตามแนวผนัง เพื่อเพิ่มความเขียวขจี มีชีวิตชีวา
- ใช้กำแพงเป็นส่วนหนึ่งของสวน เช่น ทำเป็นแปลงต้นไม้แนวดิ่ง (Vertical Garden)
- เลือกโทนสีของผนังให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เช่น สีหินธรรมชาติหรือสีดิน
5. ออกแบบทางเดินหรือขั้นบันไดควบคู่
- สามารถสร้างทางเดินร่วมด้วย เพื่อให้สะดวกในการใช้งานและเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบภูมิทัศน์
- เพิ่มไฟตกแต่งหรือเส้นนำสายตา (Visual Guide) สำหรับพื้นที่ลาดชัน เพื่อความปลอดภัยและสวยงามในยามค่ำคืน
6. คำนึงถึงการบำรุงรักษา
- ใช้วัสดุที่คงทนต่อสภาพอากาศและการสึกกร่อน
- ออกแบบให้สามารถตรวจสอบและบำรุงระบบระบายน้ำได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการใช้พืชที่มีรากรุกล้ำโครงสร้างผนัง
ทั้งหมดนี้คือองค์ความรู้ในการออกแบบงานภูมิทัศน์โดยมีกำแพงกันดินเป็นส่วนสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาดินถล่ม เพื่อเป็นแนวทางสำหรับท่านใดที่กำลังจะทำกำแพงกันดินให้สวนสวย ๆ ผมขอแนะนำว่าการเลือกใช้กำแพงกันดินสำเร็จรูปเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี เพราะมีการควบคุมคุณภาพ แข็งแรงทนทาน สะดวกในการติดตั้ง ประหยัดเวลา อีกทั้งยังมีดีไซน์ให้เลือกหลากหลายด้วยครับ หากท่านใดสนใจทาง CPS เองก็เป็นอีกแบรนด์ที่มีสินค้าประเภทกำแพงกันดินมาแนะนำครับ
ตัวอย่างบล็อกกำแพงกันดิน
1.บล็อกกำแพงกันดินคอนกรีตผิวหน้าโค้ง (ขนาดใหญ่)
- ขนาด 100x75x50 cm. น้ำหนัก 450 กิโลกรัม
- ลักษณะผิวหน้าโค้ง ช่วยให้แนวกำแพงกันดินมีมิติที่ดูสวยงาม
- ติดตั้งได้ง่าย โดยใช้วิธีการเคลียร์หน้าดิน เทลีน วางบล็อกกำแพงกันดิน จากนั้นก็ปรับระดับดินตามที่ต้องการ
- แต่ละยูนิตมีเดือย Lock ทั้งแนวระนาบรับแรงกดและแรงเฉือน ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และมีประสิทธิภาพในการรับแรงดันมากขึ้น
- สามารถใช้ร่วมกับเสาเข็ม และ Geogrid หรือ ตาข่ายเสริมกำลังดินได้
- ผ่านการรับรอง "Made In Thailand" (MiT) และ Carbon Footprint Organization
2.บล็อกกำแพงกันดินคอนกรีตผิวหน้าเรียบ (ขนาดเล็ก)
- ขนาด 50 x 48.5 x 25 cm. น้ำหนัก 70 กิโลกรัม
- ขนส่งและติดตั้งได้ง่าย เพราะมีลักษณะเป็นยูนิตขนาดเล็ก
- มีเดือย Lock ทั้งแนวระนาบรับแรงกด และแรงเฉือน จึงทำให้แนวกำแพงกันดินมีความแข็งแรง และให้ประสิทธิภาพในการรับแรงดันมากขึ้น
- สามารถใช้ร่วมกับเสาเข็ม และ Geogrid หรือ ตาข่ายเสริมกำลังดินได้
- มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ให้ความทนทานสูงตามหลักทางด้านวิศวกรรม
- สามารถก่อได้ในแนวตั้ง 90 องศา ทำให้ใช้ประโยชน์เนื้อที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- มีช่องสำหรับใส่ดิน หรือ ร้อยเหล็ก เทปูน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้แนวกำแพงอีกชั้นหนึ่ง
3.บล็อกกำแพงกันดินคอนกรีตผิวหน้าเรียบ (ขนาดใหญ่)
- ขนาด 100x75x50 cm. น้ำหนัก 450 กิโลกรัม
- ลักษณะผิวหน้าแบบเรียบ ทำให้งานดีไซน์ดูโมเดิร์น
- ตั้งได้ง่าย โดยใช้วิธีการเคลียร์หน้าดิน เทลีน วางบล็อกกำแพงกันดิน จากนั้นก็ปรับระดับดินตามที่ต้องการ
- แต่ละยูนิตมีเดือย Lock ทั้งแนวระนาบรับแรงกดและแรงเฉือน ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และมีประสิทธิภาพในการรับแรงดันมากขึ้น
- สามารถใช้ร่วมกับเสาเข็ม และ Geogrid หรือ ตาข่ายเสริมกำลังดินได้
- มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ให้ความทนทานสูงตามหลักทางด้านวิศวกรรม
- สามารถก่อได้ในแนวตั้ง 90 องศา ทำให้ใช้ประโยชน์เนื้อที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- มีช่องสำหรับใส่ดิน หรือ ร้อยเหล็ก เทปูน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้แนวกำแพงอีกชั้นหนึ่ง
4.บล็อกกำแพงกันดินคอนกรีตผิวหน้าลอนคลื่น
- ขนาด 50 x 48.5 x 25 cm. น้ำหนัก 70 กิโลกรัม
- ลักษณะผิวหน้าแบบลอนคลื่น สวยงามและยังช่วยป้องกันการกัดเซาะได้ดีอีกด้วย
- ติดตั้งได้ง่าย โดยใช้วิธีการเคลียร์หน้าดิน เทลีน วางบล็อกกำแพงกันดิน จากนั้นก็ปรับระดับดินตามที่ต้องการ
- แต่ละยูนิตมีเดือย Lock ทั้งแนวระนาบรับแรงกดและแรงเฉือน ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และมีประสิทธิภาพในการรับแรงดันมากขึ้น
- สามารถใช้ร่วมกับเสาเข็ม และ Geogrid หรือ ตาข่ายเสริมกำลังดินได้
5.บล็อกกำแพงกันดิน Geo-block
- ขนาด 0.12x0.25x0.45 cm. น้ำหนัก 19.26 kg.
- ช่วยป้องกันไม่ให้หน้าดินสไลด์
- สามารถติดตั้งด้วยตัวเองได้
- ลดค่าใช้จ่ายเรื่องของเครื่องจักร
- ติดตั้งได้ในพื้นที่แคบ
- มีวิธีการติดตั้งที่ไม่ซับซ้อน
- มีระบบ Clip lock เพื่อช่วยเพิ่มแรงผลักตัวของน้ำหนักดิน
- เหมาะสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการติดตั้งเอง, ผู้รับเหมาที่ต้องการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย หรืองานที่ต้องการปรับพื้นที่แลนด์สเคป
ผู้เขียนบทความ
โดยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่มผู้ใช้งานต่างๆ ตั้งแต่ สถาปนิก แบรนด์สินค้า ผู้จัดจำหน่าย และผู้ให้บริการต่างๆที่เกี่ยวข้อง ... อ่านเพิ่มเติม