จากทรายสู่แสง มองประวัติศาสตร์สะท้อนผ่านกระจก (The Evolution of Glass in Architecture.)
Crystal Palace, Louvre Pyramid, Burj Khalifa, Maraya เหล่านี้คือสถาปัตยกรรมที่สร้างจากกระจกที่มีความโดดเด่นตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าวัสดุกระจกนั้นเป็นวัสดุที่อยู่คู่ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมมาอย่างช้านาน แล้วทุกท่านทราบไหมครับว่า ที่จริงกระจกแผ่นใสนี้มาจากไหน?
วันนี้ Wazzadu Encyclopedia ขอพาทุกท่านย้อนเวลาไปรู้จักกับประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการวัสดุกระจก เพราะเบื้องหลังแผ่นใสธรรมดา ๆ นี้ คือเรื่องราวของการค้นพบวิทยาศาสตร์และจินตนาการที่หล่อหลอมให้มนุษย์ ‘มองเห็นโลกชัดเจนกว่าที่เคย’กันครับ
ก่อนจะเป็นแผ่นกระจกสำหรับใช้ในงานสถาปัตยกรรมนั้น เริ่มมาจากการเป็นวัสดุอย่างแก้วมาก่อน
3,500 ปีก่อนคริสตกาล
กระจกยุคเริ่มแรกที่มนุษย์ทำขึ้นนั้นทำมาจากหินขัดและหินออบซิเดียน มีอายุเก่าแก่กว่า 6,000 ปี ถูกค้นพบที่ประเทศตุรกี ต่อมา 3,500 ปีก่อนคริสตกาล วัสดุใสชนิดนี้ถูกค้นพบในแถบอียิปต์และทางเมโสโปเตเมียตะวันออก (ประเทศอิรักปัจจุบัน) โดยเกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ลักษณะหน้าตาจะคล้ายพวกลูกปัด เครื่องราง หรือไข่มุก เช่นเดียวกัน ในประเทศจีน ที่กระจกหล่อทองสัมฤทธิ์ถูกขุดพบนั้นมีอายุย้อนไปถึง 2,000 ปีก่อนคริสตกาล
1,500 ปีก่อนคริสตกาล
ในรัชสมัยของฟาโรห์ Thoutmosis I ชาวอียิปต์โบราณเริ่มผลิตเครื่องถ้วยแก้วสำหรับบรรจุเครื่องดื่มอย่างน้ำ เบียร์ และยังใช้ทำภาชนะตกแต่งอันประณีตสำหรับชนชั้นสูง
มีหลักฐานที่ถูกค้นพบเป็นพวกเครื่องใช้ ประเภทโถ หรือ คนโทที่มีอายุตั้งแต่ 1,200 – 900 ก่อนคริสตกาล ประกอบกับการพบชิ้นส่วนของถ้วยแก้วในอียิปต์ ที่มีชื่อของฟาโรห์ Thoutmosis III ปรากฏอยู่จึงระบุเวลาไว้ในช่วงนี้
แก้วในยุคนั้นผลิตจากวัตถุดิบอย่างเถ้าพืชและผงควอตซ์ นำไปหลอมและขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ต่อมาถูกพัฒนาต่อเป็นบรรจุภัณฑ์รูปแบบอื่น ๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น
650 ปีก่อนคริสตกาล
องค์ความรู้ในการสร้างแก้วถูกส่งต่อเรื่อยมาจนกระทั่ง 650 ปีก่อนคริสตกาลได้ปรากฏคู่มือบันทึกการผลิตแก้วขึ้นครั้งแรก ที่ห้องสมุดของ Assyrian King Ashurbanipal
100 ปีก่อนคริสตกาล
จาก Manuals Book เล่มแรกสู่การวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและองค์ความรู้
จนเกิดสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าท่อเป่าแก้วขึ้นมา ซึ่งเจ้าท่อเป่าแก้วนี้เองที่ได้ปฏิวัติกระบวนการผลิตแก้วและทำให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น แถมยังราคาถูกลง หลังจากนั้นการผลิตแก้วก็เจริญรุ่งเรืองมากในจักรวรรดิโรมัน และแพร่กระจายจากอิตาลีไปยังทุกประเทศที่อยู่ภายใต้อาณานิคม
ค.ศ. 100
ในยุคนี้เริ่มมีการใช้กระจกเพื่อวัตถุประสงค์ทางสถาปัตยกรรมครั้งแรกโดยชาวโรมัน หลังจากค้นพบเทคนิคการผลิตแก้วให้มีลักษณะแบบโปร่งแสงได้ (เดิมแก้วไม่ได้มีแค่สีใสและโปร่งแสงเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่มีแบบทึบด้วย) โดยการนำ Manganese dioxide (MnO₂) มาใช้ เกิดเป็นหน้าต่างที่ผลิตจากกระจกครั้งแรกในยุคนี้ แม้ว่าหน้าต่างกระจกนี้จะมีคุณภาพแสงต่ำ แต่ก็เริ่มปรากฏในอาคารสำคัญ ๆ ในกรุงโรม และในหมู่บ้าน Herculaneum และ Pompeii ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ชาวโรมันเริ่มประดิษฐ์กระจกเงาได้สำเร็จ
ศตวรรษที่ 7
นวัตกรรมต่าง ๆ ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขยายศักยภาพในการผลิตแก้วโดยเฉพาะในจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ที่สามารถผลิตแก้วสี กระจกเป่าและสร้างเตาเผาแบบหมุนได้ ทำให้เกิดกระจกทรงกลม งานเหล่านี้ต้องอาศัยความละเอียดสูงทำให้มีราคาที่แปรผันไปตามความหนาบางของกระจก ส่วนที่หนาที่สุดถูกนำมาใช้ทำหน้าต่างราคาถูก และส่วนที่บางที่สุดจะถูกสงวนไว้สำหรับหน้าต่างที่มีราคาแพงกว่า เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายจนถึงศตวรรษที่ 19
ศตวรรษที่ 8
การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ศิลปะการทำกระจกได้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งทางฝั่งตะวันตก เมืองเวนิสได้ต้อนรับช่างฝีมือที่อพยพมาจากคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) อดีตเมืองหลวงของไบแซนไทน์มาอยู่ร่วมด้วย และกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตกระจกที่ยิ่งใหญ่ของยุโรป ศิลปะการทำหน้าต่างกระจกสีในโบสถ์และอาสนวิหารได้แพร่หลายไปทั่วยุโรป เรียกได้ว่าแทบทุกโบสถ์หากไม่ตกแต่งด้วยกระจกหลากสีก็จะไม่สมบูรณ์ ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นกระแสความนิยมที่แพร่หลายไปยังนานาประเทศทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ในยุคนี้การผลิตกระจกกลายเป็นความลับทางธุรกิจที่มีการเก็บรักษาสูตร เทคนิค และการค้นพบใหม่ ๆ เอาไว้
ศตวรรษที่ 16
วิวัฒนาการของกระจกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสอดคล้องไปกับความนิยมในวัสดุชนิดนี้ การผลิตกระจกแผ่ขยายไปทั่วยุโรป โดยส่วนใหญ่อยู่ในฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี ในประเทศเหล่านี้เทคนิคต่าง ๆ ถูกพัฒนาจนสามารถผลิตแผ่นกระจกขนาดใหญ่ที่มีพื้นผิวเรียบเนียนและเป็นเนื้อเดียวกันขึ้น หลักฐานชิ้นสำคัญคือสถาปัตยกรรมศิลปะบาโรคสุดหรูหราอย่างพระราชวังแวร์ซาย สัญลักษณ์แห่งความเจริญสูงสุดทางด้านศิลปวิทยาการของฝรั่งเศสนั่นเอง
ศตวรรษที่ 18
ด้วยการก่อตั้งบริษัท British Plate Glass ในปี ค.ศ. 1773 ประเทศอังกฤษกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตกระจกหน้าต่างของโลก จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กระจกหน้าต่างสามารถเข้าถึงได้โดยประชากรทั่วไป จากที่เคยถูกจำกัดการใช้งานในวงแคบ อย่างใช้ในโบสถ์หรือพระราชวังเท่านั้น
ศตวรรษที่ 19
เป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เครื่องจักรได้เร่งกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ทั่วยุโรป ทำให้กำลังในการผลิต ‘แก้ว’ และ ‘เหล็ก’ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่งานคราฟที่ต้องอาศัยเวลาและฝีมือช่างที่เชี่ยวชาญอีกต่อไป
บทบาทของกระจกในยุคสถาปัตยกรรมสมัยใหม่จึงเปลี่ยนไปตาม ทำให้เราได้เห็นวัสดุอย่างกระจกปรากฏอยู่ตามบ้านเรือน เช่น การทำหลังคาแก้วจาก The Galerie d'Orleans ของ the Palais Royale ในปารีสปี 1829
รวมไปถึงสถาปัตยกรรมที่ทำจากวัสดุกระจกที่โดดเด่นอย่างมากในยุคนั้น ซึ่งเราได้กล่าวถึงในตอนต้นอย่าง The Crystal Palace สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างวัสดุกระจกและเหล็กหล่อ สร้างขึ้นที่ไฮด์พาร์กในกรุงลอนดอนในอังกฤษ เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการแสดงนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ (The Great Exhibition) ในปี ค.ศ. 1851
ศตวรรษที่ 20
เวลาเวียนหมุนผ่าน องค์ความรู้ในการสร้างแก้วได้วิวัฒนาการจนมนุษย์สามารถผลิตกระจกโฟลตที่สมบูรณ์แบบได้ในที่สุด ในปี ค.ศ. 1950 โดยอลาสแตร์ พิลคิงตัน ชาวอังกฤษ โดยวัสดุชิ้นนี้เป็นกระจกที่มีพื้นผิวเรียบสนิท โปร่งแสงสูง มีการจัดเรียงของโมเลกุลภายในเนื้อกระจกที่ดีกว่า ทำให้มีความแข็งแรงกว่ากระจกทั่วไป ตัวอย่างการใช้กระจกเป็นส่วนประกอบหลักในบางโครงการในยุคนั้น เช่น อาคาร Bauhaus โดยวอลเตอร์ โกรเพียส และบ้านฟาร์นส์เวิร์ธ
ศตวรรษที่ 21
ในศตวรรษที่ 21นี้เทคโนโลยีพัฒนาแบบก้าวกระโดด จนอุตสาหกรรมกระจกได้กลายเป็นอุตสาหกรรมระดับโลก ปัจจุบันกระจกมีคุณสมบัติขั้นสูงสำหรับประสิทธิภาพด้านพลังงาน การส่งผ่านแสง ความปลอดภัย และการบูรณาการโครงสร้าง มีหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะที่หลากหลาย
ประเภทแบ่งได้ถึง 7 ประเภทได้แก่
- Double Glass หรือ กระจกสองชั้น
- Curve Glass หรือ กระจกทรงโค้ง
- Smart Glass หรือ กระจกอัจฉริยะ
- Anti-flame Glass หรือ กระจกนิรภัยที่กันไฟได้
- Anti-ballistic Glass หรือ กระจกนิรภัยกันกระแทก
- Colored หรือ กระจกย้อมสี
- Screen Printed หรือ กระจกพิมพ์ลาย
ไม่เพียงแต่ตัววัสดุเท่านั้นที่วิวัฒนาการไปตามยุคสมัย แต่องค์ความรู้ตั้งแต่การผลิต การติดตั้ง ตลอดจนการนำเอาวัสดุชนิดนี้มาออกแบบเพื่อสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์นั้นน่าทึ่งขนาดไหน ตัวอย่างสถาปัตยกรรมกระจกที่โดดเด่นในช่วงเวลาของเราตอนนี้อย่าง มารายา (Maraya) ในอัลอูลา ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่ถูกบันทึกไว้ใน Guinness World Records ว่าเป็นอาคารกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยแผงกระจกจำนวนกว่า 9,740 แผง
การประดับกระจกในงานสถาปัตยกรรมไทย
ในประเทศไทยเองสันนิษฐานว่าการประดับกระจกในงานสถาปัตยกรรมไทยมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นอย่างน้อย เนื่องจากพบหลักฐานด้านการประดับกระจกในโบราณสถานบางแห่งที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย เป็นกระจกเนื้อบางประเภท ‘กระจกเกรียบ’ คือ กระจกที่มีลักษณะเป็นแผ่นโลหะบาง ๆ เนื้ออ่อน สามารถตัดด้วยกรรไกร ผลิตโดยการฉาบผิวหน้าแผ่นโลหะบาง ๆ ด้วยน้ําเคลือบซึ่งทําจากแก้ว บ้างก็เรียกว่า ‘กระจกหุง’ วิธีผลิตเป็นกรรมวิธีเดียวกับการลงยา ซึ่งรู้จักทํากันมาตั้งแต่ยุคอียิปต์ก่อนคริสตกาล ต่อมาในสมัยอยุธยาก็พบหลักฐานการนำกระจกมาใช้ประดับของตกแต่งต่าง ๆ และในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา กระจกสีก็ถูกนำมาใช้ประกอบงานสถาปัตยกรรมอย่างแพร่หลาย กลายเป็นศิลปะการประดับกระจกแบบไทย
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่วัสดุกระจกนั้นอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษยชาติมาช้านาน กระจกไม่ใช่เพียงแค่เพื่อความสวยงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการประดิษฐ์คิดค้น นวัตกรรม และการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับแสงธรรมชาตินั่นเองครับ
อ้างอิง
▪️www.archdaily.com
▪️knowledgeportal.okmd.or.th
ผู้เขียนบทความ
โดยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่มผู้ใช้งานต่างๆ ตั้งแต่ สถาปนิก แบรนด์สินค้า ผู้จัดจำหน่าย และผู้ให้บริการต่างๆที่เกี่ยวข้อง ... อ่านเพิ่มเติม