ข้อดี-ข้อควรระวังและข้อแนะนำในการใช้งานของกระจกกันเสียง (Advantages, precautions and recommendations for using acoustic glass)

กระจกกันเสียง (Acoustic glass) 

คือ กระจกที่มีคุณสมบัติในการป้องกันเสียงรบกวน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องการความเงียบ เช่น ห้องนอนติดถนนใหญ่ ห้องอัดเสียง สตูดิโอ หรือสำนักงาน

สามารถนำกระจกประเภทใดมาทำก็ได้ แต่ต้องมีความหนารวมไม่น้อยกว่า 12 มม. ในกรณีที่ใช้กระจกแบบสองชั้น จะต้องมีช่องว่างระหว่างกระจก 70 มม.ขึ้นไป และควรมีค่า Sound Transmission Class (STC) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป หากกระจกมีความหนามากกว่า 12 มม. ค่า STC ก็สูงตาม ยิ่งค่า STC สูงมากเท่าใด ก็จะป้องกันเสียงรบกวนได้มากขึ้นตามไปด้วย

องค์ประกอบของกระจกกันเสียง (Key components of acoustic glass)

ชั้นกระจก 

กระจกกันเสียงมักประกอบด้วยกระจกนิรภัยอย่างน้อยสองชั้น ซึ่งอาจเป็นกระจกประเภทอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติเฉพาะด้านอื่น ๆ ด้วย

ชั้นกลาง

เป็นชั้นฟิล์มโพลีเมอร์ที่ทำหน้าที่สำคัญในการลดเสียงรบกวน โดยฟิล์มจะช่วยยึดกระจกทั้งสองแผ่นไว้ด้วยกัน และทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับพลังงานเสียง ทำให้คลื่นเสียงและแรงสั่นสะเทือนผ่านเข้ามาได้น้อยลง เช่น ฟิล์ม PVB (Polyvinyl Butyral) ชนิดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อลดเสียงโดยเฉพาะ

ช่องว่างอากาศ (Gas-filled space)

ในยูนิตที่มีกระจกหลายบาน ช่องว่างระหว่างชั้นกระจกจะมีอากาศระหว่างกระจก ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยดูดซับคลื่นเสียง โดยอาจเติมก๊าซเฉื่อย เช่น อาร์กอน หรือคริปทอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันเสียง 

การปิดผนึกขอบของกระจก

ควรได้รับการปิดผนึกเพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศ  ควรใช้ร่วมกับกรอบกระจกที่มีซีลคุณภาพสูง หรือการติดตั้งกระจกแบบหลายชั้น (Triple glazing) ร่วมด้วย ซึ่งจะช่วยรักษาความสมบูรณ์ของโครงสร้างและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันเสียงรบกวน

ประเภทของกระจกกันเสียง (The main types of acoustic glass)

มี 4 ประเภท ดังนี้

1. กระจกชั้นเดียว (Single Glazing) 

คือ กระจกที่มี Layer เดียวแบบเพียว ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระจกใส หรือ กระจกนิรภัยเทมเปอร์ฯ กระจกประเภทนี้ยิ่งมีความหนามาก ยิ่งป้องกันเสียงได้ดี ส่วนใหญ่ใช้เป็นกระจกสำหรับประกอบทำกระจกกันเสียง ไม่นิยมนำไปติดตั้งแบบเดี่ยว ๆ เนื่องจากกระจกชั้นเดียวเวลาแตกจะร่วงหล่น และมีความแหลมคนเป็นอันตราย

2. กระจกลามิเนต (Laminated Glass) 

คือ การนำกระจก 2 แผ่นขึ้นไป มาประกบกันแบบสนิท โดยมีชั้นฟิล์ม PVB (Polyvinyl Butyral) ,EVA (Ethylene-vinyl acetate) หรือ SentryGlas ขั้นกลางระหว่างกระจกทั้งสองแผ่น ซึ่งฟิล์มจะช่วยยึดเกาะแผ่นกระจกไม่ให้ร่วงหล่นเวลาแตก

เป็นที่นิยมใช้กันค่อนข้างมากเพราะให้ความปลอดภัยสูง เวลากระจกแตกชั้นฟิล์มที่อยู่ตรงกลางระหว่างกระจกทั้งสองแผ่นจะยึดเกาะแผ่นกระจกเอาไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงมา กระจกลามิเนตถ้าหากมีความหนาใกล้เคียงกับกระจกชั้นเดียว กระจกลามิเนตจะกันเสียงได้ดีกว่า เช่น กระจกลามิเนต 6 + 0.38 + 6 มม. (กระจก+ชั้นฟิล์ม+กระจก) = ความหนารวม 12.38 มม. จะหนา และกันเสียงได้ดีกว่ากระจกชั้นเดียว 12 มม. และจะมีค่า STC ที่สูงกว่า

3. กระจกสองชั้น (Double Glazing) 

คือ การนำกระจก 2 แผ่น (จะใช้กระจกชั้นเดียว หรือ กระจกลามิเนต ก็ได้) มาประกบกันโดยเว้นช่องว่างระหว่างกระจกไว้ไม่น้อยกว่า 70 มม. (7 ซม.) ถึงจะได้ค่า STC ที่สูงขึ้น จึงจะช่วยกันเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. กระจกสองชั้นแบบผสมผสาน (Double Glazing Mix & Match) 

ลักษณะจะคล้ายกับข้อ 3 แต่จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันเสียงที่เพิ่มขึ้น โดยแผ่นกระจกจะเปลี่ยนจากกระจกชั้นเดียว เป็นกระจกลามิเนตแทนในส่วนที่เป็นผนังด้านใน หรือ ด้านที่ใกล้ชิดกับผู้ใช้งาน เพราะเวลากระจกแตกจะให้ความปลอดภัยโดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน จึงกลายเป็นกระจกกันเสียงอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการนำไปใช้งาน แต่ค่อนข้างราคาสูง

คุณสมบัติเด่นของกระจกกันเสียง

1.การป้องกันเสียงรบกวน

กระจกกันเสียงถูกออกแบบมาให้ ดูดซับและลดการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียง สามารถลดเสียงจากภายนอกได้ตั้งแต่ 25–50 เดซิเบล (dB) ขึ้นอยู่กับชนิดและความหนา ช่วยให้ภายในอาคารเงียบสงบ เหมาะกับห้องพักอาศัย, ห้องทำงาน, โรงแรมฯ

2. โครงสร้างพิเศษเพื่อกันเสียง

ใช้เทคโนโลยี Laminated Glass (กระจกประกบฟิล์ม PVB หรือ EVA) ที่มีคุณสมบัติ ดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากคลื่นเสียงหรือแบบ Insulated Glass (Double Glazing) ที่มีช่องอากาศหรือก๊าซเฉื่อยคั่นกลาง ช่วยลดการนำเสียงและความร้อน

3. เพิ่มความปลอดภัย

หากเกิดการแตกกระจกชนิด Laminated จะไม่แตกกระจายแต่ฟิล์มตรงกลางจะยึดเศษกระจกไว้ จึงช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บและช่วยลดอัตราการถูกบุกรุกได้

4. ช่วยลดความร้อนและประหยัดพลังงาน

กระจกกันเสียงหลายรุ่นมีคุณสมบัติเป็นกระจกประหยัดพลังงาน (Energy Efficient) ด้วย ลดการนำความร้อนจากภายนอก ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง

5. กันรังสี UV

ฟิล์ม PVB ภายในกระจกสามารถ กรองรังสี UV ได้มากกว่า 90% ป้องกันเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน และพื้นไม้จากการซีดจาง

6. รองรับการออกแบบหลากหลาย

สามารถผลิตได้หลายแบบ เช่น ใส, ฝ้า, เคลือบสี, หรือ Low-E ใช้ได้ทั้งในงานสถาปัตยกรรมภายนอกและภายใน

7. เพิ่มมูลค่าและความหรูหราให้กับอาคาร

ช่วยให้ได้ทั้งความเงียบ ความปลอดภัย และความสวยงามในเวลาเดียวกัน นิยมใช้ในอาคารระดับพรีเมียม โรงแรม และคอนโดหรู

ข้อควรระวังของกระจกกันเสียง

• การติดตั้งมีผลต่อประสิทธิภาพอย่างมาก ต่อให้ใช้กระจกกันเสียงเกรดดีแต่หากติดตั้งไม่แน่นหรือมีช่องว่างเสียงก็จะยังคงเล็ดรอดได้ จำเป็นต้องใช้ช่างผู้ชำนาญและเลือกกรอบหน้าต่างหรือประตูที่ซีลแน่นสนิท เช่น uPVC หรืออลูมิเนียมคุณภาพสูง
• กระจกกันเสียงมักมีหลายชั้นหรือขนาดหนากว่าปกติ ทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น 1.5–2 เท่า จึงควรตรวจสอบว่าโครงสร้างของอาคาร, กรอบกระจก หรือบานพับรองรับน้ำหนักได้
• ราคาของกระจกกันเสียงอาจสูงกว่า 2–4 เท่า ของกระจกธรรมดา
• อาจเกิดปัญหาเรื่องการควบแน่น (Condensation) โดยเฉพาะในกระจกแบบ Double Glazing (Insulated Glass) หากซีลขอบไม่ดีหรือมีความชื้นเข้าไป อาจเกิดฝ้าในช่องอากาศระหว่างแผ่นกระจก
• กระจกแบบ Laminated หรือ Double Glazing ซ่อมยาก ต้องเปลี่ยนทั้งบานหากเกิดการชำรุด

ข้อแนะนำในการใช้กระจกกันเสียง

• แนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยวัดระดับเสียง (dB) และเลือกชนิดกระจกที่เหมาะสม จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่พึ่งพอใจและคุ้มค่ากับงบประมาณ
• กระจกบางชนิดโดยเฉพาะแบบหนาหรือเคลือบฟิล์ม อาจทำให้เกิดการสะท้อนแสงหรือแสงจ้า ควรเลือกชนิดกระจกให้เหมาะกับทิศทางแดดของอาคาร
• เลือกความหนาและชนิดของกระจกให้เหมาะสม เพราะอาจมีคุณสมบัติการกันเสียงที่ต่างกันไป เช่น หากอยู่ในพื้นที่เสียงดังปานกลาง เช่น บ้านติดถนนทั่วไป ใช้ Laminated Glass หนา 6 มม. ประกบกันก็เพียงพอ
• ระวังไม่ใช้สารเคมีในการทำความสะอาดแรงเกินไป เพราะอาจทำลายชั้นฟิล์มภายใน
• กระจก Laminated มักมีฟิล์มยึดเศษกระจกไว้หากแตก ควรตรวจสภาพขอบกระจกและฟิล์มไม่ให้เสื่อมอยู่เสมอ
• สำหรับอาคารสูงหรือกระจกขนาดใหญ่ ควรเลือกกระจกนิรภัยกันเสียง (Laminated Tempered) เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานอาคาร