10 ผลกระทบจาก Climate Change ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย
Climate Change ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตคนไทยทุกพื้นที่ ทั้งในเมือง ชนบท ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดถี่และรุนแรงขึ้นจนหลายธุรกิจต้องเร่งปรับตัว บทความนี้จะพาคุณสำรวจ 10 ผลกระทบสำคัญที่เกิดขึ้นจาก Climate Change พร้อมแนวทางรับมือและโซลูชันพลังงานอัจฉริยะจาก Schneider Electric ที่ช่วยให้องค์กรเดินหน้าสู่ความยั่งยืนได้อย่างมั่นคง
1. อุณหภูมิประเทศไทยสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยโลก
ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ส่งผลให้เกิดคลื่นความร้อนบ่อยครั้ง ทำให้ภาคแรงงานกลางแจ้งและผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อโรคลมแดดมากขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาเครื่องทำความเย็นหรือระบบปรับอากาศยังมีต้นทุนด้านพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจึงกลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกองค์กร
2. ฝนตกหนักและน้ำท่วมบ่อยขึ้น
สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนทำให้ฝนตกหนักแบบฉับพลันเกิดถี่ขึ้น น้ำท่วมสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน ถนน ระบบขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานของเมืองใหญ่ การระบายน้ำที่ไม่ทันต่อปริมาณฝนยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น ธุรกิจจำนวนมากต้องเผชิญความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของงาน ระบบไฟฟ้าดับ และความเสียหายต่อสินทรัพย์ การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับเหตุการณ์รุนแรงจึงสำคัญกว่าเดิม
3. ฤดูแล้งรุนแรงและยาวนานกว่าเดิม
ภาวะแห้งแล้งเกิดนานขึ้นในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ส่งผลให้แหล่งน้ำดิบสำหรับอุปโภคบริโภคลดลงอย่างมาก ภาคเกษตรได้รับผลกระทบโดยตรง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องใช้ต้นทุนเพิ่มเพื่อจัดหาน้ำสำรอง นอกจากนี้ ปัญหาภัยแล้งยังทำให้ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากการใช้เครื่องทำความเย็น เป็นภาระต่อระบบพลังงานของประเทศ การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและการวางระบบสำรองจึงเป็นสิ่งจำเป็น
4. ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง ทำให้พื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะ
พื้นที่ชายฝั่งไทย โดยเฉพาะอ่าวไทย กำลังสูญเสียพื้นที่อย่างรวดเร็วเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง น้ำทะเลรุกล้ำ และน้ำท่วมพื้นที่ต่ำ แหล่งท่องเที่ยวริมทะเลและหมู่บ้านชาวประมงได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากนี้ยังทำให้โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน และโรงงานใกล้ชายฝั่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น การติดตามข้อมูลและวางแผนด้านพลังงานและสาธารณูปโภคที่ยืดหยุ่นจึงสำคัญมากขึ้น
5. ผลผลิตทางการเกษตรลดลง
สภาพอากาศสุดขั้วทำให้ผลผลิตหลายชนิดลดลง เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผักผลไม้ ความผันผวนของอุณหภูมิและปริมาณฝน ส่งผลต่อวงจรการปลูก เก็บเกี่ยว และคุณภาพสินค้า เกษตรกรต้องเผชิญความเสี่ยงด้านรายได้ ขณะที่ธุรกิจอาหารและอุตสาหกรรมแปรรูปต้องบริหารต้นทุนเพิ่มขึ้น การนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาช่วยคาดการณ์สภาพอากาศและจัดการทรัพยากรจึงสำคัญมาก
6. การแพร่ระบาดของโรคในมนุษย์เพิ่มขึ้น
อากาศที่ร้อนและชื้นขึ้นทำให้โรคที่มากับยุง เช่น ไข้เลือดออก ไข้ซิกา หรือไข้มาลาเรีย แพร่ระบาดง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ผู้คนมีความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ และโรคลมแดดเพิ่มขึ้น ระบบสาธารณสุขต้องรับภาระหนักขึ้น ขณะที่องค์กรต้องดูแลความปลอดภัยของพนักงานมากขึ้น ทั้งเรื่องพื้นที่ทำงาน การระบายอากาศ และแผนรับมือสภาพอากาศที่รุนแรง
7. ระบบนิเวศทางทะเลเสียสมดุล
อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นและความเป็นกรดของมหาสมุทรทำให้ปะการังฟอกขาว แหล่งประมงลดลง และสัตว์ทะเลจำนวนมากสูญเสียถิ่นอาศัย ส่งผลต่อชาวประมง ธุรกิจท่องเที่ยว และความมั่นคงทางอาหารของประเทศ นอกจากนี้ ระบบนิเวศที่เปราะบางยังทำให้แนวชายฝั่งอ่อนแอลงต่อพายุและคลื่นสูง การอนุรักษ์ร่วมกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ
8. คุณภาพอากาศแย่ลง โดยเฉพาะภาคเหนือ
ภาคเหนือของไทยต้องเจอปัญหาหมอกควันและค่า PM2.5 สูงเป็นระยะเวลานานทุกปี ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่เอื้อต่อการสะสมของมลพิษ การเผาในที่โล่ง และความเปลี่ยนแปลงของลมตามฤดูกาล ส่งผลให้ผู้คนมีความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจมากขึ้น เมืองใหญ่และภาคอุตสาหกรรมต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีตรวจวัดคุณภาพอากาศและระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ
9. ความเสี่ยงด้านพลังงานเพิ่มขึ้น
ความต้องการใช้พลังงานสูงขึ้นจากอุณหภูมิที่ร้อนกว่าเดิม รวมถึงสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนทำให้ระบบไฟฟ้าต้องรับภาระหนักมากขึ้น ทั้งพายุ น้ำท่วม และคลื่นความร้อน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไฟดับหรือระบบขัดข้อง องค์กรจึงต้องพึ่งพาระบบพลังงานที่มีความยืดหยุ่น สำรองได้ และตรวจสอบการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำ
10. ความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในทุกภาคส่วน
ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร ท่องเที่ยว การผลิต โลจิสติกส์ หรือค้าปลีก ต่างเผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่รุนแรง ทั้งความเสียหายต่ออาคาร เครื่องจักร โครงสร้างพื้นฐาน การหยุดชะงักของซัพพลายเชน และค่าใช้จ่ายพลังงานที่สูงขึ้น หากไม่ปรับตัว องค์กรอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
เราจะรับมือกับ Climate Change อย่างไรในอนาคต
1. ลดการปล่อยคาร์บอนจากทุกภาคส่วน
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร โรงงาน และบ้าน
- ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ามาตรฐานสูงเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน
- เลือกใช้พลังงานจากแหล่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ
2. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน
- ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปหรือโซลาร์ฟาร์ม
- ใช้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage)
- พัฒนาไมโครกริดเพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียนแบบเสถียร
3. เพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า (Energy Resilience)
- เตรียมระบบสำรองไฟ (Backup Power) สำหรับธุรกิจสำคัญ
- ใช้ระบบมอนิเตอร์พลังงานแบบเรียลไทม์
- วางแผนลดความเสี่ยงจากไฟดับ น้ำท่วม หรือคลื่นความร้อน
4. ใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัลเพื่อตรวจจับและวิเคราะห์ข้อมูลสภาพแวดล้อม
- ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดพลังงาน น้ำ คุณภาพอากาศ
- ใช้แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยง
- ปรับกระบวนการผลิตให้ทันต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
5. ปรับอาคารและโครงสร้างพื้นฐานให้เข้ากับสภาพอากาศ
- ใช้วัสดุทนทานต่อความร้อนและน้ำ
- ปรับปรุงระบบระบายอากาศและระบบทำความเย็นให้มีประสิทธิภาพ
- ออกแบบระบบน้ำฝนและระบายน้ำแบบรองรับฝนตกหนัก
6. เสริมสร้างเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Economy)
- สนับสนุนธุรกิจที่มีการผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำ
- ลดการใช้พลังงานฟอสซิล และเพิ่มการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
- ทำ Carbon Offset และปลูกป่าเพิ่ม
7. สร้างความตระหนักรู้ในระดับองค์กรและชุมชน
- ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับ Climate Risk
- ส่งเสริมกิจกรรมลดคาร์บอน เช่น ลดขยะ รีไซเคิล
- ทำ Green Policy ภายในองค์กรอย่างจริงจัง
8. ทำแผนบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Management)
- ประเมินความเสี่ยงน้ำท่วม คลื่นความร้อน พายุ
- เตรียมแผนฉุกเฉินและระบบแจ้งเตือนภัย
- ปรับซัพพลายเชนให้ยืดหยุ่น รองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด
โซลูชันพลังงานอัจฉริยะจาก Schneider Electric ที่ช่วยลดผลกระทบ Climate Change ให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน
Schneider Electric นำเสนอโซลูชันที่ช่วยองค์กรลดผลกระทบจาก Climate Change ได้จริง ไม่ว่าจะเป็น EcoStruxure™ Microgrid ที่ช่วยบริหารพลังงานหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ EcoStruxure™ Power Monitoring Expert สำหรับมอนิเตอร์พลังงานแบบเรียลไทม์ การบริหารศูนย์ข้อมูลที่ประหยัดพลังงานด้วย EcoStruxure™ IT รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ช่วยลดการใช้พลังงานและลด Carbon Footprint ธุรกิจจึงสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ประหยัด และยั่งยืนมากขึ้น
นอกจากนี้ ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ยังมีอุปกรณ์และโซลูชั่นด้านไฟฟ้า พลังงาน และโซลูชั่นด้านความยั่งยืนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สวิตช์ไฟ เซอร์กิตเบรกเกอร์ ตู้โหลดเซ็นเตอร์ scada software, surge protector โซลูชั่น อาคารอัจฉริยะ และอื่นๆ อีกมากมาย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่เว็บ www.se.com หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทางศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ ได้เลย
ติดตามเรื่องราวดี ๆ จาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ที่
เว็บไซต์: www.se.com
Facebook: Schneider Electric
Instagram: schneiderelectric_th
LinkedIn: Schneider Electric
Lazada: Schneider Electric
Shopee: Schneider Electric official
LINE Official: ชไนเดอร์ อิเล็คทริค
ผู้เขียนบทความ